Incredible India Indeed (Part I)

รูปนี้ดู Photoshop มามากๆ เลย
เวลาฉันเที่ยวประเทศ"กำลังพัฒนา" ฉันไปกับทัวร์ทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็จะไปเอง โดยเฉพาะประเทศในยุโรปที่ฉันมักจะได้ไปคนเดียว เพราะว่าแวะเที่ยวเพิ่มจากที่ต้องไปทำงานที่ฟินแลนด์  สาเหตุเป็นเพราะคิดไปเองว่าไปยาก ก็เลยไม่เคยลอง

ฉันไปอินดียคราวนี้ เกาะกลุ่มพระ แม่ชี ที่ท่านจะไปสังเวชนียสถานกัน ไปกันยาว ๓๕ วัน ฉันขอไปแค่ ๗ วันแรกที่กลุ่มนี้เค้าต้องรอพระอีกรูปหนึ่ง จะได้เป็น loop ที่สะดวก เพราะต้องกลับมาเดลลีอยู่แล้ว  ยังไงฉันก็จะไปสังเวชนียสถานกับทัวร์อยูดี  ฉันอยากลองไปอินเดียแบบสบายกายน้อยหน่อย

ในภาพรวม ฉันว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีความขัดแย้งในตัวเอง (มันคงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขา แต่ขัดกันสำหรับเรา) และมีความแตกต่างกันมาก  จริงๆ แล้วก็ไม่แปลก ประเทศใหญ่ออกขนาดนี้  หลากหลายในทุกมิติ ศาสนา ความเป็นอยู่ ภูมิอากาศ และมีประชากรเกินพันล้านคนอีก...  ความแปลกมันเริ่มตั้งแต่เวลาเลย ไม่เคยเจอที่เวลาต่างจากกรุงเทพ ๑.๓๐ ชั่วโมง (เค้าช้ากว่า) คือ เคยเจอแต่ความแตกต่างที่เป็นเลขจำนวนเต็ม ๑ ชม. ๒ ชม. ก็ว่าไป...

อย่างที่สองที่ว่าแปลก ที่ไม่เคยรู้มาก่อน คือ เวลาเราไปไหนมาไหน เจอแต่ผู้ชาย  ก็ถามพระที่มาอินเดียหลายครั้งว่าผู้หญิงหายไปไหนหมด  ท่านบอกว่าผู้หญิงเป็นแม่บ้าน งานอะไรที่เป็นงานนอกบ้าน แม้กระทั่งจ่ายตลาด เป็นงานผู้ชาย  ขนาดพ่อครัวและคนเสริฟในร้านอาหารที่ฉันไปกิน ทุกร้าน ยังเป็นผู้ชายเลย  นี่คือที่มาว่าทำไมผู้หญิงอินเดียต้องเสียสินสอดเพื่อแต่งผู้ชายเข้าบ้าน เหมือน"ซื้อ" แรงงานมาเพิ่ม  และผู้ชายต้องทำตัวดีๆ ด้วย ไม่งั้นไม่มีใครมาขอ...

งานแต่งแบบ Traditional ที่ Jaipur
เราได้พักบ้านคนซิกข์ที่เป็นเพื่อนของแม่ชีคนหนึ่งในกลุ่ม ฉันถามว่ายังมีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนอยู่อีกไหม  เค้าบอกว่ายังมีอยู่...  ตอนเรียนอเมริกา  ก็เคยได้ยินเรื่องเล่าว่าอาจารย์คนอินเดีย หรือนักศึกษาปริญญาเอกชาวอินเดียกลับบ้านไปแต่งงานแล้วเอาเจ้าสาวมาอยู่ที่อเมริกา...

นอกจากนี้ยังมีการแยกหญิงชายในหลายๆ อย่าง เช่น ห้องรอที่สถานีรถไฟ  เครื่องแสกนโลหะตามสนามบินหรือสถานีรถไฟ  (แยกเพราะถ้าเครื่องมันปี้ด จะถูกคลำที่เสื้อผ้า) พอฉันเดินผ่านเครื่องพวกนี้ แล้วด้วยความที่ฉันผมสั้น หน้าก็สุดแสนจะโหด เลยถูกถามมากกว่าหนึ่งครั้งว่า Are you a lady?  ตอนแรกก็เสียความมั่นใจไปเลย..ทั้งๆ ที่รู้น่ะนะ.. ตอนหลังก็ชิน  ฉันยังไม่พบสาวอินเดียผมสั้นเลย  อ้อ..แต่เห็นกระเทยอินเดียด้วย มาขอเงินกับคนขับรถของเรา  ว่ากันว่าคนอินเดียจัดว่าคนพวกนี้เป็นพวกกาลกิณี และแช่งได้แม่นยำมาก การให้เงินจึงเป็นการตัดปัญหาซวย...

อ้อ พวกเราไม่มีปัญหากับขอทานเลย เพราะไม่ให้ และเพราะพวกเราดูยากจนละมัง  และเราก็ไม่ได้ไปเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย ก็เลยไม่เด่น

เด็กๆ มาขอเงิน ยังไงเด็กก็น่ารักถึงจะมอมแมม
พอเห็นบทบาทของผู้หญิงในสังคมอินเดียจึงเข้าใจว่าทำไมภิกษุณีจึงหายไปจากอินเดีย  ก็ขนาดทำมาหากินยังทำเองไม่ได้ แล้วจะปีกกล้าขาแข็งไปเป็นนักบวชได้ยังไง  สังคมมันไม่เอื้อให้ทำได้...  แต่ว่า ในเมืองใหญ่ เช่น เดลลี ก็เห็นคนทำงานนอกบ้านผู้หญิงเหมือนกัน เป็นตำรวจ พนักงานขาย...

อีกอย่างที่แปลกใจ คือ พบว่าชายหนุ่ม (น้อยหรือมากก็แล้วแต่) รูปร่างสูงใหญ่เป็นส่วนมาก หน้าตาก็เข้ม ด้วยว่าจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้ม กระบอกตาลึก  พวกดารา Bollywood บางคนดูเหมือนฝรั่งมากๆ

คนอินเดียชอบถูกถ่ายรูป คนนี้เป็นเจ้าบ่าวอีกงาน


สาวๆ และหนุ่มๆ อินเดียที่ฉันพบแต่งตัวเรียบร้อย (ส่วนความสะอาด รีดเรียบเป็นอีกประเด็น) ผู้ชายใส่เสื้อแจ้กเก็ต Blazer กางเกงขายาว ผู้หญิงก็ไม่โป๊  เพิ่งรู้ว่าส่าหรีเป็นผ้าผืนยาว ๖ เมตร ที่เค้าเหน็บให้สามารถเป็นโสร่งแล้วยกขึ้นมาพาดท่อนบนได้   สงสัยว่าทำยังไงสาวอินเดียถึงอนุรักษ์การใส่ส่าหรีอยู่ได้...

เครื่องแต่งกายอืกหนึ่งชิ้นที่ amazing มากคือผ้าโพกหัว ที่ Jaipur (คนไทยเรียก ชัยปุระ) แถวๆ ที่พักเรามีโรงแรมหลายแห่ง แล้วมีงานแต่งงานสองงานชนกันในคืนเดียวกัน งานหนึ่งเป็นแบบร่วมสมัย (Contemporary) ที่เพื่อนเจ้าบ่าวแด๊นซ์กระจาย อีกงานเป็นแบบ Traditional ที่เจ้าบ่าวมางานบนหลังช้าง  มีดนตรีดั้งเดิมขับกล่อม  ฉันชอบผ้าโพกหัวของแขกผู้ชายที่มาในงานมาก สวยด้วยสีและลวดลาย มีคนบอกว่าผ้านี้ยาว ๓๐ เมตร มันต้องบางมากเลยถึงไปกองอยู่บนหัวได้ทั้งหมด  เห็นผ้าพวกนี้แล้วกิเลสขึ้นเลย

ตอนแรกนึกว่าไม่รู้จะเล่าอะไร พอเขียนไปเขียนมา ก็เล่าได้อยู่นะ...

Comments