ยามเย็นกับธรรมเทศนาพระอาจารย์ปสันโน

รูปจากเว็บของวัดอภัยคีรี

เมื่อวานไปฟังเทศน์โดยพระอาจารย์ปสันโน ซึ่งตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดอภัยคีรีที่สหรัฐ  ฉันเคยฟังไฟล์เสียงธรรมเทศนาของท่าน แต่ไม่เคยฟังสด ท่านเทศน์เป็นภาษาอังกฤษ

หัวข้อคือ ปฎิจจสมุปบาท (Dependence origination) แต่ท่านก็ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าแต่ละขั้นมันประกอบด้วยอะไรบ้าง ท่านยกคำอธิบายของหลวงพ่อชาที่ว่า เวลาคุณตกต้นไม้ คุณก็ไม่ได้นับหรอกว่าผ่านกิ่งไม้กี่กิ่ง  แต่พอแอ็กลงมาแล้ว ก็เจ็บ ก็รู้ว่าเป็นทุกข์ ท่านว่าๆ ความทุกข์มันดึงความสนใจของเรา (Sufferings grasp you.) นั่นคือเหตุผลที่อริยสัจพูดถึงความทุกข์

ท่านบอกว่าเวลาเรามีความสุข สมาธิก็จะตามมาเอง  (When we are happy, concentration arises). ดังนั้นเราจึงต้องสังเกตว่าทำอะไรแล้วเรามีความสุข เช่น ถือศึล ท่านว่าการมีศีลคือการให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับตัวเอง

ท่านพูดถึงเรื่อง Mindfulness of the body เช่น เวลาร่างกายมันเริ่มไม่ปกติ ก็แสดงว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นแล้ว ประเด็นนี้พระอาจารย์ชยสาโรก็เคยพูด ว่าบางทีท่านรู้สึกว่าก่อนจะโกรธนี่ กล้ามเนื้อที่น่อง หรือท้ายทอย (ฉันจำไม่ได้ว่าอันไหน) มันจะเกร็งๆ

ตอนท้าย ให้คนถามคำถาม มีคนถามว่า เค้าไปเนปาล มีพิธีบูชายัญ คนทำพิธีก็มีความสุขดีนี่ แล้วมันจะช่วยให้เกิดสมาธิไหม ท่านว่าการฆ่านี่ จิตใจมันก็ต้องโดดข้ามจิตสำนึกในระดับหนึ่ง ท่านว่าในสังคมพุทธเช่นประเทศไทย ก็ยังมีการกินเนื้อสัตว์อย่างแพร่หลาย เพราะเราถือว่าไม่เป็นไร คนอื่นทำ ไม่ใช่ฉันทำ ไม่บาป พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ก็รู้สึกว่าฉันนี่สองมาตรฐานจริงๆ เลย กำลังคิดอย่างจริงจังแล้วว่าจะเป็นมังสวิรัติ

มีฝรั่งผู้ชายคนหนึ่งถามว่า เพื่อนเค้าที่เป็นผู้หญิงฝรั่งรู้สึกว่าเป็นประชาชนชั้นสอง (Second-class citizen) ในศาสนาพุทธทุกนิกาย ยกเว้นมหายาน หญิงหูผึ่งเลยว่าท่านจะตอบว่าไง ท่านบอกว่าเป็นการยากที่ Human institution จะตั้งอยู่โดยปราศจากบริบทของวัฒนธรรม (Culture) ศาสนาพุทธนั้นมีอายุสองพันกว่าปีก็เช่นกัน ท่านบอกว่าจริงๆ แล้วสังคมมีสามเพศ คือ เพศชาย เพศหญิง และเพศสมณะซึ่งไม่เป็นทั้งชายและหญิง ท่านว่าให้กลับไปที่คำสอนหลักที่ว่าใครๆ ก็ภาวนาได้

ณ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกว่่ากระแสปฎิบัติธรรมในเมืองไทย มันเหมือนจะเน้นให้คนปลีกตัวออกมาจากสังคม มาอยู่วัดหรืออะไรก็แล้วแต่ แล้ว concept ที่ว่า ถ้าเราพัฒนาตัวเราให้ดีแล้วสังคมก็จะดีเอง ฉันก็เห็นด้วยนะ แต่ฉันว่าการพัฒนาตัวเองและสังคมรอบตัวต้องทำไปพร้อมกัน จะขุดรูภาวนาอยู่คนเดียวได้ยังไง ในเมื่อเรายังต้องอาศัยคนอื่นๆ อย่างน้อยก็ในเรื่องปัจจัยสี่ นอกเหนือจากจิตสำนึกที่ว่าเราโชคดีกว่าคนอื่น เราจึงมีหน้าที่ๆ จะเกื้อหนุนชาวบ้านแล้ว

แล้วบางทีฉันว่าคนเข้าวัดหรือกระทั่งนักบวชบางคนก็ตาม หมกมุ่นกับเป้าหมายมากเกินไป เหมือนเป็น "การหลุดพ้นของฉัน" ฉันเคยเจอแม่ชีคนหนึ่งเป็นโรคกระเพาะ ฉันก็บอกว่าอ้าว..มีอะไรต้องเครียดเหรอ อยู่ที่วัดเนี่ย เค้าว่า...ก็ยังอยากได้มรรคผลอยู่.. อยากได้มรรคผลจนเป็นโรคกระเพาะเนี่ยนะ...อืมม... ติดดีนี่มันน่ากลัวแฮะ ท่านว.ว่าๆ เป็นความบ้าสีขาว

Comments