ระนาบนี้มีที่ให้ฉันยืน (Part 4)

คลิกเพื่อดูรูปที่ถ่าย

ต่อจากความเดิมที่เล่าเรื่องไปงานภาวนาของหลวงปู่ Thich Nhat Hanh.  คราวที่แล้วเล่าถึงกิจกรรมช่วงเช้าไปแล้ว  ตอนนี้เล่าถึงเรื่องกิจกรรมตอนบ่ายบ้าง...

ฉันชอบบรรยากาศอันผ่อนคลายของงานภาวนานี้  ในตารางกิจกรรม ก็มีอะไรๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็น แต่มันหลวมๆ  แล้วเค้าก็ไม่บังคับว่าต้องเข้าทุกอัน ไม่มาคอยจับผิด คือ เค้าให้อยู่กันเงียบๆ (Noble silence) แต่ถ้าเราคุยกัน เค้าก็ไม่มาจุ๊ๆ  อาจมีโดนเหล่บ้าง  ฉันมีเพื่อนมากันหลายคน ก็คุยกันโขมงด้วยเรื่องมีสาระ และปราศจากสาระ ปนๆ กัน

หมู่บ้านพลัมกินอาหารเจ  พวกเราก็ต้องทำตามนั้น  แต่ก็กินสามมื้อ และอาหารเจที่วังรีรีสอร์ทนี้ก็อร่อยอย่างน่าแปลกใจ  ทำน้ำแกงให้หวานโดยไม่มีกระดูกหมู กระดูกไก่นี่ต้องเก่งมาก แถมต้องทำเลี้ยงคนเป็นพัน  แล้วก็มีร้านเบเกอรี่ที่เด็ดมาก ราคาก็ไม่แพง มีร้านไอติม มีร้านกาแฟ  ก็ไม่อดหยากใดๆ...

ช่วงบ่ายมีกิจกรรม Total relaxation, สนทนาธรรมกลุ่มย่อย, และออกกำลังกาย (เช่น โยคะ, Tai Chi, รำกระบอง...  ซึ่งฉันไม่เคยเข้าซักอันเพราะไปอาบน้ำ)  การผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์นี้นำโดยหลวงแม่จึงคอม (ถ้าจำชื่อไม่ผิด) อายุน่าจะ ๖๐-๗๐  คอยนำพวกเรา  เราก็นอนพักท่าศพ (นอนหงาย กางแขนกางขาสบายๆ หลับตา) ท่านก็ร้องเพลงกล่อมเรา แล้วก็บอกให้เราขอบคุณสารพัดอวัยวะที่มันยังทำงานอยู่  ถ้าอยากหลับ ก็ไม่ต้องฝืน ให้หลับไปเลย  ฉันว่าส่วนนี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่อนุบาลมาก...

อ้อ มีสอนการกราบขอบคุณแผ่นดินด้วย คือ เรามีราก (Root) ที่แท้จริง ๓ อัน คือ Blood family, Environmental family (homeland) and Spiritual family  แล้วหลวงแม่จึงคอมก็พูดถึงพระโพธิสัตว์ต่างๆ ว่าท่านเหล่านั้นมีแง่เด่นอะไรบ้าง เช่น Understanding ability, Great love, Joyfully offering compassion...  สำหรับการกราบขอบคุณแผ่นดินคงมีจุดประสงค์ให้เรามีความกตัญญู  แต่ฉันเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร....

ส่วนสนทนาธรรมกลุ่มย่อย ก็จะแบ่งตามอาชีพ หรืออายุ ฉันไปอยู่กลุ่มพวกอาจารย์  เป็นโอกาสที่ใครอาจจะอยากแบ่งปันอะไรหรือถามคำถาม  มีหลวงพี่หนึ่งรูปต่อหนึ่งกลุ่ม  ตอนแรกฉันไม่ชินที่หลวงพี่ไม่ตอบคำถามตรงๆ  ท่านให้คนอื่นๆ ช่วยตอบ  ตอนหลังๆ ฉันก็เริ่มชอบวิธีนี้ เพราะมันช่วยให้ฉันหัดฟัง  ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดเขาและต้องฝืนฟัง  แต่พอทนๆ ไปก็เออ..บางที..เค้าก็มีอะไรดีๆ เหมือนกัน...  สำหรับฉันที่มีความอดทนต่ำและ Ego สูงแล้ว การภาวนาแบบนี้เหมาะมาก  แล้วก็ทำให้เห็นด้วยว่าที่ฉันอยากฟังแต่หลวงพี่พูดในตอนแรกๆ นั้น เป็นเพราะฉันยึดติดกับเครื่องแบบนักบวช  จริงๆ แล้วใครก็ได้ที่จะมาสอนเรา...

ฉันสังเกตว่าการภาวนาแนวของ Thay เน้นเรื่องความสุข ความเบิกบาน  ขนาดนั่งภาวนายังมีหมอนรองนั่งเลย (จะว่าไป มันเป็นความจำเป็นเชิงเทคนิคด้วยเพราะอานาปานสติอาศัยคุณภาพของลม ซึ่งขึ้นกับว่ากระดูกสันหลังมันตั้งตรงหรือไม่...)  มันทำให้ฉันรู้สึกว่าการภาวนาของฉัน ถึงฉันจะขยันแค่ไหน แต่มันก็แห้งแล้งเกินไป และเต็มไปด้วยความอยากได้การหลุดพ้นมากเกินไป  Thay บอกว่า A practitioner who doesn't know how to create joy and happiness isn't a good practitioner.

และที่ประทับใจ ซาบซึ้งสุดๆ ในงานภาวนานี้ และเป็นที่มาของชื่อบล็อกโพสต์นี้ คือ ฉันเพิ่งรู้ว่า "สังฆะ" นี่หมายรวมถึงฉันและทุกๆ คนที่ภาวนาด้วย  ฉันแทบน้ำตาไหลเลยนะพอรู้อย่างนี้  ภาพที่ว่านักบวชชายและนักบวชหญิงเสวนาเวทีเดียวกันได้ ร้องเพลงกับฆราวาสได้ มันทำให้รู้สึกว่าเออ เราก็ยืนอยู่ด้วยกันได้นะ... ไม่จำเป็นต้องมีใครแปลกแยกออกไป หรือมีการสื่อสารแค่ทางเดียว ก็คุยกันได้ รับฟังกันได้

อีกกิจกรรมที่ควรจะกล่าวถึงคือการถามปัญหาส่วนตัวกับหลวงพี่  โดยคนที่อยากถามจะต้องมาทึ้งคำถามไว้ แล้วหลวงพี่ที่อยากจะตอบจะมาช่วยตอบ  มีน้องคนหนึ่งที่ไปด้วยกันขอถาม กรอกไปว่ามีปัญหาเรื่องการสื่อสาร (กับอดีตแฟนที่ยังคบกันฉัน"เพื่อน")  จริงๆ แล้วก็ปัญหาอกหักรักสลายนั่นแหละ  ฉันมีหน้าที่เป็นล่าม เพราะหลวงพี่เป็น Vietnamese American.  พอฉันมานั่งนึกดูนะ อกหักนี่มันก็คือการอยากได้แล้วไม่ได้  ซึ่งก็เป็นทุกข์เมื่อเราปฎิเสธความจริง ก็มันไม่ได้แล้วยังดิ้นจะให้ได้  เพิ่งรู้สึกว่าความทุกข์ทั้งหมดมันสามารถพลิกมามองว่ามาจากการปฎิเสธความจริง...Not seeing things as they are...ได้ทั้งหมด  คำสอนของพระพุทธเจ้านี่สรุปรวบยอดเข้าประเด็นจริงๆ

เกือบลืมร้านค้าขาดสติ (มีชื่อทางการว่า "ร้านค้าแห่งสติ") คือ ส่วนหนึ่งทางหมู่บ้านพลัมต้องระดมทุนเพื่อสร้างสถานภาวนาที่ใหม่ (หมายเลขบัญชีธนาคารเผื่อใครอยากร่วมสนับสนุน) เพื่อรองรับนักบวชเวียดนามที่ถูกขับไล่ออกจากประเทศ  นอกเหนือไปจากเสียงเรียกร้องของสาวหนุ่มนักช้อบทั้งหลาย  ก็เลยเปิดร้านขายเสื้อยีด หนังสือ ซีดี กระเป๋า สารพัดสิ่ง  แล้วผู้ภาวนาก็ซื้อกันกระหน่ำมาก  ขนาดเข้าไปไม่ถึงโต๊ะสินค้าและต้องจำกัดจำนวนคนในบางช่วงเวลา (เพราะเริ่มแน่นจนขยับไม่ได้)  ฉันเองก็ได้หนังสือ ย่าม หมอนรองนั่ง และ Calligraphy ที่ Thay วาด  หลอกตัวเองเล็กน้อยว่า..เออ..เราได้ทำบุญนะ...

แล้วก็มีกิจกรรมตอนค่ำด้วย ส่วนใหญ่เป็นเวทีเสวนา มีทั้งฆราวาสเล่าให้ฟังเรื่องการภาวนาของตัวเอง  และก็นักบวชแบ่งปันวิธีการอยู่ร่วมกันในวัด ว่าจะคุยกันยังไงเวลามีประเด็นขัดแย้ง  มี Guidelines เป็นข้อๆ เลย  ซึ่งฉันก็ว่าดีนะ  บางที เราชินกันการติๆๆ  โดยไม่แคร์ว่ามันจะส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างไร

ขอจบด้วยคำสวยๆ ของ Thay
To love means to be there for him or her.
To be there means to breathe,
and be truly there for him or her. 

Comments