ส่งการบ้านหลวงพ่อ

วันนี้ส่งการบ้านเป็นครั้งที่สอง ตื่นสาย นาฬิกาไม่ปลุก ตื่นมาก็ตีห้าแล้ว ก็เลยรีบเผ่นออกจากบ้าน ขับมาสวนฯ ด้วยความเร็ว 140 km/h. (ปกติขับ 120) ด้วยความสามารถพิเศษในการใช้ห้องน้ำ สามารถมาถึงศรีราชาได้ในเวลา 6.20 น. ไปจองที่ แล้วก็เข้าไปแต่งหน้าในส้วม (ที่ล้างมือกับกระจกอยู่ด้านนอกที่ชาวบ้านจะเห็นได้) ช่วงนี้หน้าหนาว คนไม่ค่อยมาสวนฯ เท่าไหร่ ก็เลยได้นั่งแถวสอง ข้างๆ แถวอาหารถวายพระ

วันนี้มีพระอาจารย์อำนาจ และพระอาจารย์กฤษณ์มาด้วย พระอาจารย์กฤษณ์นี่หน้าคุ้นมาก แต่ไม่รู้ว่าเคยเห็นที่ไหนมา่ก่อน

อ้อ เดี๋ยวนี้หลวงพ่อมีการดักว่า ท่านไม่ชอบให้ถามคำถามดังต่อไปนี้
  1. จิตของหนูเป็นยังไงคะ  ท่านบอก ตัวเองยังดูไม่รู้ ถึงหลวงพ่อบอก ก็คงไม่ช่วย
  2. หนูมีจริตอย่างไรคะ  ท่านก็อธิบายอย่างที่ท่านมักจะอธิบาย ว่าพวกชอบคิด ก็ต้องดูจิต  พวกรักสวยรักงาม ก็ให้ดูกาย
แค่ไม่ให้ถามสองอันนี้ ก็คงแทบไม่เหลืออะไรให้ถามแล้ว

ช่วยพี่จอยแปลให้ป้ารูธฟังตอนช่วงสอง  แล้วก็ยกมือขอถาม ฉันเรียนหลวงพ่อว่า "ส่งการบ้านเจ้าค่ะ อาทิตย์นี้มีเรื่องให้เสียใจ ก็เลยเห็นว่าเสียใจกับดีใจมากๆ นี่คล้ายกัน ในแง่ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกตัว แต่เสียใจเห็นชัดกว่า เพราะว่ามีแรงผลัก"

หลวงพ่อก็บอก "อืืม  แล้วไงอีก" 

เราก็บอก "ช่วงนี้ขยันขึ้นเจ้าค่ะ ทำในรูปแบบมากขึ้น"

หลวงพ่อก็บอก "จิตตอนนี้เป็นไง"

เราก็ควาน เฮ้ย เป็นไงหว่า ก็ตอบไปว่า "ตื่นเต้น แล้วก็ไม่อยากให้ตื่นเต้น"

ท่านบอก "จิตมันกระจาย อยู่นอกๆ เห็นไม๊"  ฉันก็คิด มันเป็นอย่างนี้เหรอ แสดงว่าฉันจิตกระจายตลอดเวลาน่ะสิ

ท่านคงอ่านออก ว่าจะถามว่าทำไงให้มันไม่กระจาย ท่านก็ตอบเลยว่าให้บริกรรมพุทโธ  เราก็บอกว่าเราไม่ชอบบริกรรมพุทโธ ท่านก็บอกรู้สึกกายก็ได้  

It's much easier and faster to write in English, so here I go.   While driving back, I was getting rather discouraged and slightly frustrated.  Then, I thought, perhaps I got irritated with my "lack of progress" because I was taking this task of liberating myself as another item on my to-do list, something that I have to get it over and done with ASAP.  What if I treat the Vipassana practice as something I must do but with no definite dateline?  That I have no choice but to go ahead as if I am stuck in this huge cage.  Even though I'm well fed, well clothed, materially better than average, I'm bound to be in this cage nonetheless.  Of course, until I can let myself out.   

What an irony it is.  I want to let my sense of self go, because I love myself so much that I can't stand coming back to this world and repeat the cycle all over again.  It's like holding on to something so tightly while trying to throw it away.

While driving to apartments this evening, I was listening to Ajahn Brahm.  One can't remain depressed after his talk.  What a coincident!  He talked about being kind to oneself.  I suppose I was too critical and beating myself up too much.  The control-freak side of me resists the fact that I can't control what is not there in the first place: me.

Comments

Art Nuchprayoon said…
โห ถึง 6.20 แต่ได้แถวสองคนน้อยจริง ๆ