What I should be mindful about




Khun Dungtrin is now having face-to-face sessions called ดังตฤณวิสัชนา at Baan Aree where people can come and ask him questions about their Vipassana practice or their lives. He let us sign up through twitter. This past Monday was the first day of such sessions, and I got to go.

The event was scheduled to start at 4PM but since I had classes at 6.30 at KU so I went there before time to get into queue. Turned out that I was the 13th. I wasn't nervous and Khun Dungtrin looked like what I saw in the photo and video clips. I also recorded our conversation on my phone and its transcription is as follows:

Ying: รู้สึกว่า บางทีเวลาทำงานเยอะๆ แล้วมันจะหลงนานน่ะค่ะ แล้วช่วงนี้ก็ปี้ดง่ายด้วย ไม่แน่ใจว่าควรจะมีวิหารธรรมอะไรหรือเปล่าคะ

Khun Dungtrin: ดูตัวนี้ นะ คำว่าวิหารธรรมหมายถึงเครื่องอยู่ของจิต แต่ผมให้ดูตัวนี้ก่อนก็แล้วกัน รากเหง้าเลยนะ ของในการที่เราทำ แล้วมันมีความหลุด ความเผลอ มีโทสะ อะไรก็แล้วแต่ รากเหง้าเลยนะ บนเส้นทางกรรมแบบของคุณ คือว่า พูดกันตรงๆ นะ มันอยากได้ อยากดี อยากมีหน้ามีตา แล้วก็มีความรู้สึกแบบนี้เนี่ย นึกออกไหม มันยอมให้ใครแซงหน้าไม่ได้ คือว่า ยอมให้ใครมาว่าไม่ได้ มันมีอัตตาที่ใหญ่ มีอัตตาที่ค่อนข้างจะเบ้ง (ทำมือเป็นวงกลมโตๆ ประกอบ)

เวลาดู ดูตรงนี้ก่อน ถ้าดูตรงอื่นเนี่ย มันจะเบาลงแบบนี้ เห็นมั๋ย คือปกติเนี่ย ถ้าใครพูดกระทบอัตตา เราจะทนไม่ได้ แต่นี่ ผมพูดให้ดูอัตตา คราวนี้มันรับได้แล้ว มันเห็นแล้วว่ามันเป็นอะไรที่ใหญ่ๆ มันเป็นอะไรที่ทึบๆ ตอนนี้ รู้สึกไม๊ว่ามันเบาลง (Ying: จำได้ว่าเป็นความรู้สึกโล่ง) ตอนนี้เลย เอานาทีนี้เลย เมื่อกี้ ที่มันเบาวูบลงไป เห็นมั๊ย พอผมให้ดูอัตตาเนี่ย พอมันยอมรับได้ว่า เราอดอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเด่นไม่ได้ ใครว่าไม่ได้ เอาแค่ยอมรับตัวนี้ตัวเดียวนะ พอเห็นตัวนี้ตัวเดียวนะ มันเบาลงทันที เพราะเราเข้ามาเห็นว่า เข้ามารู้สภาวะของอัตตา ตรงๆ เลย

แล้วตอนนี้มันพูดกัน มันง่าย พูดกันแล้ว ไม่มีเรื่องทางโลกย์มารบกวน ยิ่งอยู่ในห้องนี้ อยู่แบบธรรมะ อยู่แบบบรรยากาศของความสบาย แต่พอเวลาเข้าไปฝึกตรงสนามจริงเนี่ย มันจะรู้สึกเหมือนทนไม่ได้ มันจะรู้สึกดิ้นเร่าอยู่ข้างในนะว่า ตรงนี้เสียแน่ ตรงนี้ไม่ได้แน่ ตรงนี้มีคนอื่นเอาไป เดี่ยวใครมาแซงเรา เรื่องทำนองนี้เนี่ย เวลามันเกิดขึ้น ให้ดูไปเรื่อยๆ มันจะไม่ให้ผลในทันทีนะ ทำไป 7 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง ยังไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าทำไปเป็น 1000 ครั้ง ตรงนี้จะเห็นความเปลี่ยนแปลง เวลาที่มันรู้สึกทึบๆ ขึ้นมา มีอาการที่มันจะดิ้นออกไปข้างนอก นึกออกใช่ไม๊ เวลาที่เรามีอัตตาแรงๆ มันจะมีอาการที่ดิ้นออกไป มันจะมีอาการพุ่งออกไป มันจะมีอาการทนไม่ได้ มันจะมีความรู้สึกแย่ๆ เกิดขึ้นมา แล้วอาการดิ้นเร่า เหมือนมีอะไรมาโลดเต้นอยู่ข้างในนี่นะ ยังงั้นน่ะนะ ดูไป ดูเฉยๆ ดูให้มันเหมือนดูแบบนี้ คือเรายอมรับมันตามจริง ว่าเกิดความรู้สึกทึบๆ ขึ้นมา เกิดความรู้สึกดิ้นรนขึ้นมา

ถ้าดูมันอย่างถูกต้อง มันจะรู้สึกเบาไป มันจะรู้สึกเบาลง แต่ถ้าดูอย่างไม่ถูกต้อง มันจะขึ้นมาอยู่ที่นี่ (ชี้ไปที่สมอง) มันจะอยู่กับความคิด แล้วมันไม่ยอม ฉันยอมไม่ได้ ในหัวนี่ มันเกิดขึ้นบ่อยนะ ความรู้สึกว่าไม่ยอมเนี่ย ไอ้ลักษณะความคิดที่ว่าอย่างนั้นก็ยอมไม่ได้ อย่างนี้ก็ยอมไม่ได้ เรื่องโน้น เรื่องนี้ ถ้าไม่ Perfect ถ้าไม่ได้ดั่งใจเรา ไม่ยอม ไม่ปล่อย ตรงนี้แหละ ถ้าเวลาดู ดูง่ายๆ เลย มันมีความคิดขึ้นมา ไอ้ความคิดไม่ยอมนี่ มันจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปสนใจมัน เราสนใจตรงนี้ มันมีอาการดิ้นเร่าอยู่ มีอาการทะยาน มีอาการที่พุ่งพล่าน ออกมาจากข้างใน ถ้าเรามองออกนะ สงสัย ตอนนี้สงสัย (รับว่าใช่) แล้วขณะสงสัย มันมีอาการพุ่งพล่านอยู่เหมือนกัน ตอนนี้มันเบาลง เห็นไม๊ เวลาดู ดูแค่นี้นะ จุดหลักของคุณมันอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปสนใจเปลือกรอบนอกอย่างอื่น

ถ้าดูตรงอื่นนะ มันไม่ตรงจุด เวลาดู ดูตรงนี้ มันถึงจะเข้าหัวใจทีเดียว

Ying: อ้าว แล้วถ้ามันเป็นเรื่องงาน แล้วมันจะต้องไปต่อละค่ะ

เรื่องงานนะ งานที่มีประสิทธิภาพ จะต้องทำด้วยจิตที่มีประสิทธิภาพ แต่ที่ผ่านมา เห็นไม๊ ตอนที่จิตเรากระโดดโลดเต้นอยู่ มันดิ้นเร่าอยู่ มันไม่มีคุณภาพนะ เราตัดสินจากภาพตรงนี้ก่อน มันจะได้ยอมได้ว่า เออ ทำงานเนี่ย ให้ตาำทำก็ได้ ให้สมองทำก็ได้ ให้มือไม้ทำก็ได้ แต่ไม่ต้องให้ความโกรธทำได้ไม๊ เห็นไม๊ ที่ผ่านมานะ บางทีมันทำด้วยความไม่พอใจ ให้ความไม่พอใจเป็นตัวทำ ให้ความโกรธเป็นตัวทำ มันทำออกมา Work ก็จริงนะ แต่มันครึ่งเดียว ครึ่งของจิตที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่มันทำให้สำเร็จได้ แต่อีกครึ่งหนึ่งมันโดนบั่นทอนไปนะ บั่นทอนไปด้วยความโกรธ บั่นทอนไปด้วยความไม่พอใจ บั่นทอนไปด้วยความรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ

My time was up. His comment is very insightful. I've always thought that people naturally have อัตตา; otherwise, we are all enlightened. But I suppose my family upbringing and my educational training kind of heightened my sense of self.

Comments

Unknown said…
Thanks for sharing your inner experiences. I happily enjoy reading your words. One of the joys is to hear how your life has been mindful. You benefit from your practices described in your blog, while reading, I haved learned too. Keep writing na. Naw