ฉันเริ่มทำศิลปะบำบัดมาได้ 14 ครั้ง เริ่มตั้งแต่กลางธันวา 2566 จนถึงตอนนี้ ฉันไม่ได้มีประเด็นชัดๆ หรือวิกฤตชีวิตอะไร ฉันชอบเรียนและมันเป็นความฝันของฉันที่จะมีนักบำบัดส่วนตัว ที่ผ่านมา ฉันเข้าเวิร์คช็อปที่เป็นกลุ่มและอยากเรียนสไตล์อื่นบ้าง ฉันรู้จักนักบำบัดเพราะเพื่อนสนิท เราเคยไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกันด้วย
สตูดิโอของพี่น้ำเป็นห้องเรียนไม้จากโรงเรียนเก่า มีต้นไม้ ดอกไม้เยอะ มีสวน มีผู้ช่วยนักบำบัดชื่อบราวนี่ ซึ่งเป็น Golden retriever ด้วย ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนอยู่บ้าน
เมื่อตัดสินใจว่าจะทำศิลปะบำบัด ครูเสนอให้ทำต่อเนื่อง 12 ครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือถ้าติดธุระ ก็ขอเลื่อนได้ จริงๆ ครั้งละ 1 ชม. แต่ฉันชอบเม้ากับครู ก็จะเกินเวลาทุกที
ครูบอกว่าเป้าหมายของการพบกัน 12 ครั้งคือทำ Family tree
ครั้งที่สองก็วาดรูปด้วยสีฝุ่น แต่วาดรูปหินคริสตัลที่ฉันเลือก ซึ่งลืมถ่ายรูปเก็บไว้
ครั้งที่สามปั้นดินเหนียวให้เป็นก้อนกลมๆ ฉันมองว่าการปั้นดินเป็นกิจกรรมฐานกาย ให้กายและใจมาอยู่ที่เดียวกัน
โจทย์แรกคือปั้นสัตว์ที่แสดงการหลับ พี่น้ำมีตัวอย่างให้ดู ให้ปั้นรูปแมว ขดตัวนอน ปั้นเองบ้าง ครูช่วยบ้าง ปั้นเสร็จกลับบ้านก็ง่วงมากๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะบางทีฉันมีปัญหาเรื่องการนอน
วีคต่อมา ปั้นสัตว์ที่แสดงถึงความตื่น ครูบอกให้เราอนุญาตให้สิ่งที่เราจะปั้นมันปรากฏเอง (Emerge) ไม่ต้องยัดเยียดไอเดียเราให้กับดินเหนียว คอนเส็พนี้ก็ยากสำหรับคนทำงานเป็นอาจารย์วิศวะอย่างฉัน มันเป็นความเป็นกลางอีกแบบ
ข้อดีของฉันคือ ครูบอกให้ทำอะไรก็ทำ ไม่คิดมากว่าจะต้องสวย เพราะว่าฉันไม่ได้เรียนศิลปะมา และนี่ไม่ใช่คลาสศิลปะ แต่เป็นการบำบัด และฉันมักเข้าข้างตัวเองอยู่แล้ว เราทำเอง ออกมาอย่างไร ฉันก็ชอบ
เปลี่ยนจากงานปั้นเป็นการใช้สีฝุ่นบ้าง วาดสีรุ้งรอบๆ ก่อน แล้วค่อยวาดรูปตัวเองลงไป
โจทย์ต่อไปก็เป็นเรื่องพ่อแม่ ให้วาดพ่อและแม่ ไม่ต้องวาดเป็นรูปตัวคนจริงๆ แต่ให้วาดเป็นพลังงาน
รูปต่อไป ใช้กระดาษสีดำ ครูพูดนำให้ก่อน แล้วก็ให้จุดสีขาวลงไป 1 จุด แล้วครูก็นำพาให้เราเติมสี มาเฉลยทีหลังว่ารูปนี้เป็นการจุติมาเกิดของฉัน ซึ่งดูแล้วมีพลังผลักดันให้ฉันมาเกิดจริง
รูปต่อไปครูให้วาดวงกลม แล้วข้างนอกเป็นสีน้ำเงิน ส่วนในวงกลมจะวาดอย่างไรก็ได้ โจทย์คือความทรงจำในท้องแม่ ซึ่งฉันจำไม่ได้ ครูนำภาวนาให้เข้าไปถึงพลังงานนั้น ฉันทำเสร็จเร็ว ครูก็เลยให้เขียนกลอนไฮกุด้วย
อันต่อไปเป็นฉันและคนรอบตัวฉันตอนฉันอายุก่อน 3 ขวบ และต้นไม้ครอบครัว ตอนทำ ฉันคิดว่าฉันรู้สึกเฉยๆ แต่พี่น้ำบอกว่าฉันทำหน้าเหมือน Dissociate คือ กายหยาบอยู่นี่ แต่ถอดจิตไปอยู่ที่อื่น เหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่่องนี้ คล้ายว่าผ่านเรื่องนี้มาได้แล้ว ไม่อยากไปพูดถึงมันอีก
อันนี้เป็นความทรงจำแรกๆ ที่จำได้
พี่น้ำถามว่าที่ทำไป 13 ครั้ง เห็นอะไรบ้าง ฉันบอกว่าฉันฝันได้ชัดเจนขึ้นและจำฝันตัวเองได้ ปกติฉันตื่นตอนกลางคืนเพื่อเข้าห้องน้ำทุกคืนอยู่แล้ว และจำความฝันแทบไม่ได้เลยเมื่อตื่น ตอนนี้ฝันชัดเจนขึ้น และบางทีฝันธีมเดิมซ้ำๆ เช่น ฉันฝันว่าฉันไปอยู่ที่ๆ หนึ่ง โดยไม่รู้จักใครเลย ไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์ แต่จะต้องไปถึงอีกที่ให้ได้ ส่วนอีกคืนก็ธีมเดิม แต่มีสร้อยทองอีก 1 เส้น ในฝันฉันรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ก็ต้องสู้ ความกลัวการขาดทรัพยากรเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในชีวิตของฉันๆ ต้องการความมั่นคงและการพึ่งตัวเองได้
อีกอย่างที่เห็นชัดคือฉันจำอะไรในวัยเด็กไม่ค่อยได้ เรื่องที่จำได้มักจะเป็นเรื่องที่ฉันทำบางอย่างได้ดี สำเร็จ หรือฉัน"ถูกรังแก" เพื่อนบอกให้ฉันกลับไปดูรูปวัยเด็ก น่าจะช่วยให้ฉันจำได้ แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอยากกลับไปดูรูป ฉันเดาว่าตอนเด็กๆ ฉันอาจจะเศร้ามากๆ ก็ได้ ก็เลยเก็บไว้ กดเอาไว้
รูปล่างเป็นรูปล่าสุด โจทย์คือตอนฉันเข้าอนุบาล ฉันจำแม้กระทั่งชื่อโรงเรียนไม่ได้ อันนี้ก็เลยเด้งมาเป็นตอนป. 2 ซึ่งฉันจำได้เพราะว่าย้ายโรงเรียนและไม่ได้เรียนป. 1 ซึ่งฉันภูมิใจว่าฉลาดพอที่จะข้ามชั้นเรียน
จริงๆ ที่วาดเป็นความทรงจำตอนโตว่าตอนพักเที่ยงชอบไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด พี่น้ำถามว่าดูรูปนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ฉันบอกว่าก็ดูเหมือนฉันดี ดูเอาเรื่อง และนางน่าจะเหงานะ มีแต่ตัวเองคนเดียว
ฉันคิดว่าศิลปะบำบัดทำงานกับฉันอีกแบบ ไม่ใช่แค่คิดแล้วพูด มันไปทำงานกับข้างใน ซึ่งก็ใช้เวลาในการเห็นผล และน่าจะต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างครูกับนักเรียนด้วย
เรื่องสำคัญที่ตระหนักจากการทำ art therapy คือ ฉันได้กลับไปทบทวนเรื่องเก่าๆ และได้มีความสัมพันธ์ใหม่กับเรื่องเหล่านั้น คล้ายว่าสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับตัวเอง (Self narrative) ใหม่ ฉันพบว่าฉันให้ค่ากับการทำอะไรสำเร็จมากๆ และจริงๆ ฉันกดดันตัวเองมากๆ ไม่ใช่พ่อหรือแม่มากดดัน อย่างที่เคยไปโทษเขาว่าเขาทำให้เราเครียดจนนอนไม่หลับเป็น 10+ ปี
และฉันสังเกตตัวเองได้ไวขึ้น โดยเฉพาะเวลาไม่พอใจ หรือโกรธ ว่าฉันน่าจะมีพฤติกรรมแบบนี้เช่นเดียวกัน
ฉันรู้สึกว่าฉันมีพลังงานที่เปลี่ยนไป ทำให้ปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัวเปลี่ยน มันทำให้เราเข้าใจตัวเองว่าเราทำแบบนั้นนี้ เพราะอะไร
ฉันก็วางแผนว่าจะทำ art therapy ไปเรื่อยๆ ถือเป็นการดูแลตัวเองอย่างหนึ่ง ยิ่งทำก็ยิ่งเห็นตัวเองในด้านที่ไม่เคยเห็น ปอกเปลือกตัวเองไป เพื่อให้การแสดงออกภายนอกและสิ่งที่เป็นอยู่ภายในสมดุลกัน
Comments