ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างฉันกับอาหาร



ฉันอินกับ Functional medicine หรือการแพทย์องค์รวมที่ถือว่าอาหารคือยา  ฉันอ่านหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพและการชะลอวัยหลายเล่ม ฟังพ็อตคาสท์ของ Goop (ดีงาม ได้ความรู้เยอะมาก) มากี่สำนัก เขาก็บอกว่า Intermittent fasting (IF) ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารซึ่งเป็นระบบหลักที่สำคัญมากได้พัก สมัยก่อนหาอาหารยาก เมื่อได้กิน ร่างกายจะทุ่มทุน ชะลอกระบวนการอื่นๆ มาจัดการย่อยอาหารและเก็บพลังงานก่อน เมื่อระบบย่อยพัก ระบบอื่น เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน การกำจัดของเสีย จะทำงานเต็มที่  ดังนั้น IF ทำให้สุขภาพดี 

บทความของ The Standard ที่พูดถึง IF อันนี้ดีมาก มีแหล่งอ้างอิงเพียบ

ฉันอายุ 47 ปี อยากแข็งแรงตอนแก่ อยากมีอิสระ ดูแลตัวเองได้ ฉันรู้สึกว่าด้วยข้อมูลขนาดนี้ ถ้าไม่ทำ IF ฉันจะศึกษาไปทำไม ฉันจึงจะลองทำ IF อย่างจริงจังดู

ตัวช่วยอีกอย่างคือใช้ฟรีแอพ Zero Fast ที่คอยจับเวลาให้ว่าเราเริ่มอดกี่โมง และกินได้อีกทีกี่โมง อดมากี่ชั่วโมงแล้ว คิดเป็นกี่เปอร์เซ็น การมีแอพเหมือนเรามีเพื่อน มันช่วยมากในช่วงแรกๆ

 
 
 


ไม่ได้ท้องแห้งแบบนี้ทุกวัน
หน้าท้องแห้งบางวัน
ผลพลอยได้อื่นของ IF ที่พูดกันคือ การอดอาหารบีบให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่น้ำตาลต่ำ อินซูลินต่ำ ร่างกายจึงเผาผลาญไขมันเพื่อดึงพลังงานมาใช้, น้ำหนักลดลง, ร่างกายหลั่ง Growth hormone

ฉันทำ IF มา 35 วันอย่างต่อเนื่อง กิน 8 ขม. และอด 16 ชม. อดจริงๆ กินแต่น้ำหรือน้ำชาที่ไม่มีแคลอรี  มีบางวันที่หลุดไปบ้าง สิ่งที่ได้มาคือ นอนได้ดีขึ้น (ตอนแรกคิดว่ามโน แต่ไปอ่านเจอว่า เวลาอด น้ำตาลในเลือดตก ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะไม่ตื่นตัวเหมือนตอนที่น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้หลับง่าย) น้ำหนักที่คุมได้ทั้งที่กินเต็มที่ในเวลาที่กินได้ หน้าท้องแบนราบ และความสัมพันธ์ใหม่ที่ฉันมีกับอาหาร อันหลังนี่เป็นเทียบเท่าประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ 

ฉันอ้วนมาตั้งแต่เด็ก มีช่วงที่ปล่อยตัว และคุมเข้ม สุดโต่งสลับกันไปมา เวลาจะกิน จะรู้สึกผิด แต่ก็กิน ฉันรู้สึกว่าฉันแทบไม่เคยได้กินอย่างมีความสุขจริงๆ กินแบบกล้าๆ กลัวๆ อาหาร คือ กลัวอ้วน ไม่เต็มที่กับการกิน บางครั้งก็กินเพราะเครียด กินเพราะไม่อยากเผชิญกับความรู้สึกของตัวเอง กินเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าภายใน

ช่วงที่ลดน้ำหนัก ฉันลองการกินอาหารหลายรูปแบบ เหมือนช้อปปิ้งไปเรื่อยๆ Low fat, low calorie, vegetarian สารพัด เหมือนแสวงหาไปเรื่อยๆ ไม่พอใจซักที

แต่ก่อน ฉันจะกลัวความหิว คือ หิวนิดหนึ่งก็จะหาอะไรกินแล้ว ไม่อยากเผชิญหน้าความทุกข์หรือความหงุดหงิดจากความหิว มีความกลัวว่าถ้าหิวมาก จะกินเยอะ เหมือนอาหารและความหิวควบคุมฉัน มากกว่าที่ฉันจะคุมมัน


ตอนนี้ที่ฉันทำ IF ที่ฉันอดได้จริงๆ ไม่สยบยอมกับข้อแก้ตัว เช่น โอ๊ย! เพิ่งออกกำลังกายมา หรือเมื่อคืนนอนน้อย เพลีย หิวมากๆ หน้าจะมืด ฉันใช้วิธีเฝ้าดูความรู้สึก ฉันพบว่า ถ้ารอดูไปซักพัก กระทั่งความหิวก็หายไปเอง คล้ายมาเอง ไปเอง ฉันรู้สึกว่าฉันมีพลัง Empowered มากๆ ฉันมั่นใจว่าฉันอยู่กับความหิวของตัวเองได้ ฉันคุมตัวเองได้ เอาตัวเองอยู่ ทำให้ฉันกล้าเผชิญกับความรู้สึกอื่นๆ ที่เป็นความรู้สึกทางกายและทางใจ เช่น ผิดหวัง เสียใจ เหมือนพอฉันผ่านด่านสำคัญด่านหนึ่งได้แล้ว ด่านอื่นๆ ฉันก็มั่นใจว่าผ่านได้ 
The only way is through.
เมื่อฉันทำ IF ฉันไม่สามารถกินได้ตลอดเวลาที่อยาก การกินมีความหมาย เป็นสิ่งที่มีค่า ช่วงที่กินไม่ได้ แต่เจอของที่อยากกิน ฉันก็ซื้อมาเก็บไว้ก่อน รอจนถึงเวลาที่กินได้  IF ฝึกความอดทนของฉัน อดทนที่จะรอเวลา ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ใหญ่มากสำหรับสาวกระทิงใจร้อนอย่างฉัน

ฉันกิน 6 น. ถึง 14 น. บางทีก็จบแค่มื้อเที่ยง ดังนั้นมื้อเช้าเป้นมื้อที่มีความหมายมากๆ เพราะได้กินซักที และฉันกินเต็มที่ กินแบบไม่กลัวอาหาร อยากกินก็กิน เพราะรู้ว่าฉันคุมได้ ไม่ได้หมายความว่าตอนค่ำๆ จะไม่หิว หิวกว่าตอนเช้าอีก แต่อยู่กับมันได้ 

ผลพลอยได้ทางกายภาพจากการทำ IF บวกกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ บวกกับการเลือกกินอาหารที่ดี เป็นอาหารที่มีพลังชีวิต คือ คุณภาพผิวฉันดีขึ้น รูขุมขนเล็กลง หน้าใสขึ้น ฉันคุมน้ำหนักอยู่ รูปร่างเฟิร์มขึ้น ฉันมั่นใจในรูปร่างตัวเอง และรู้สึกเป็นมิตรกับร่าง ร่างกาย สมอง และจิตวิญญาณเป็นทีมเดียวกัน  เดิมมันแยกส่วน สมองกับความรู้สึกมักทะเลาะกัน เช่น รู้สึกอยากกินแต่สมองบอกว่าแกไม่ควรกิน หรือเมื่อส่องกระจกตอนอ้วน สมองจะคิดไม่ดีกับร่างกาย บอก โอ๊ย! ดูไม่ดีเลย 

ตอนนี้ My mind, body and spirit are in peace. รู้สึกสงบสุข

จากที่ฟังพ็อตคาสท์และทดลองกับตัวเอง อาหารส่งผลกับอารมณ์และสุขภาวะ (Well being) มากๆ 

ส่งท้าย: มีการศึกษาบอกว่าจริงๆ กิน 12 ชม. อด 12 ชม. ก็ได้ หรือจะแค่งดกินบางมื้อก็ได้ ถ้ากินช่วงที่มีแสงอาทิตย์ได้ยิ่งดี ตามนาฬิการ่างกาย (Circadian rhythm)





Comments