วันนี้ที่ไปฟังคุณวิจักษข์ พานิช พูดเรื่อง เส้นทางโพธิสัตว์ ฉันไม่ได้สนใจมหายานในแง่ศาสนาเปรียบเทียบ แต่สนใจว่าจะนำมาเสริมกับการภาวนาของฉันเองอย่างไรมากกว่า มีหลายตอน ที่ฉันเห็นตัวเองเริ่มเถียงเค้าในใจ แต่ก็ดึงตัวเองกลับมาว่า ฉันมาฟัง ไม่ใช่มาจับผิด ก็เป็นการเรียนรู้การฟังอย่างไม่ตัดสิน
เค้าเริ่มด้วยการพูดเกริ่นนำเล็กน้อย ถามพวกเราว่ามานี่มีคำถามหรือความคาดหวังอะไรไม๊ เค้า warm up เราก่อน ด้วยการให้นั่งสมาธิ ๑๕ นาทีตามลำพัง และให้นอนผ่อนคลาย โดยมีเสียงเค้านำ ว่าให้ผ่อนตรงฝ่าเท้า กลางแผ่นหลัง... แอร์เย็นๆ และตอนบ่าย ทำให้ฉันเกือบหลับ จากนั้น เค้าก็เริ่มพูด สลับกับให้ถาม ฉันชอบบรรยากาศที่เป็นกันเอง แต่ฉันว่าเค้ารู้ในแง่ทฤษฎี แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเค้าได้ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่พูดด้วยตนเองมากน้อยแค่ไหน ฉันก็ว่าแกกล้าดี ที่มาเปิดตัวสอน
ส่วนที่ฉันได้ประโยชน์คือมุมมองเรื่องความรัก เหมือนที่ท่านพรหมวังโสบอกว่า Love is understanding. ถ้าเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว รับได้ทุกอย่าง กล้าที่จะอยู่กับมัน ไม่หนี ดังนั้น ขั้นแรกของการภาวนาคือการศิโรราบกับความทุกข์ กล้าที่จะรับมัน นอกจากนี้ ฉันยังชอบมุมมองเรื่องนิพพาน ว่านิพพานก็ได้ ไม่นิพพานก็ได้ จริงๆ ครูบาอาจารย์ทางเถรวาทก็บอกแบบนั้นอยู่แล้วว่ายิ่งอยาก ยิ่งไม่ได้ มันก็ตรงกัน ฉันว่ามหายานกับเถรวาทเหมือนส้มตำกับแฮมเบอร์เกอร์ กินแล้วก็อิ่มเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าชอบกินอะไร และมีอะไรให้กิน
และก็คำอธิบายเรื่องพรหมวิหาร ๔ ว่าเป็นบ้านที่ใหญ่มาก เป็นโพธิจิต เช่น เมตตาก็คือความรัก (ที่บางคนพูดว่าพุทธไม่เหมือนคริสต์ตรงที่คริสต์พูดถึงเรื่องความรัก จึงไม่จริง) กรุณาก็ชัดอยู่แล้ว มุฑิตาคือ Sympathetic Joy ถือว่า Life is a blessing. และอุเบกขาคือ Trust ความเชื่อใจตัวเอง เชื่อใจคนอื่น และสิ่งที่เกิดขึ้น
เค้าจบด้วยการพูดถึงพระสูตรสำคัญๆ ทางมหายาน เช่น พระสูตรปรัชญาปารามิตาหฤทัย วิมลเกียรตินิทเทสสูตร และ Diamond sutra ด้วยที่รู้ว่าปัญญาทางธรรมยังไม่ค่อยมีของจริง มีแต่ที่อ่านมา ฟังจากเค้ามา ก็เลยไม่ได้อินมาก ฉันรู้ว่าอ่านไปก็เข้าใจในระดับคิด อยากรู้ด้วยตัวเองมากกว่า
เค้าเริ่มด้วยการพูดเกริ่นนำเล็กน้อย ถามพวกเราว่ามานี่มีคำถามหรือความคาดหวังอะไรไม๊ เค้า warm up เราก่อน ด้วยการให้นั่งสมาธิ ๑๕ นาทีตามลำพัง และให้นอนผ่อนคลาย โดยมีเสียงเค้านำ ว่าให้ผ่อนตรงฝ่าเท้า กลางแผ่นหลัง... แอร์เย็นๆ และตอนบ่าย ทำให้ฉันเกือบหลับ จากนั้น เค้าก็เริ่มพูด สลับกับให้ถาม ฉันชอบบรรยากาศที่เป็นกันเอง แต่ฉันว่าเค้ารู้ในแง่ทฤษฎี แต่ฉันไม่แน่ใจว่าเค้าได้ประจักษ์แจ้งในสิ่งที่พูดด้วยตนเองมากน้อยแค่ไหน ฉันก็ว่าแกกล้าดี ที่มาเปิดตัวสอน
ส่วนที่ฉันได้ประโยชน์คือมุมมองเรื่องความรัก เหมือนที่ท่านพรหมวังโสบอกว่า Love is understanding. ถ้าเป็นความรักที่แท้จริงแล้ว รับได้ทุกอย่าง กล้าที่จะอยู่กับมัน ไม่หนี ดังนั้น ขั้นแรกของการภาวนาคือการศิโรราบกับความทุกข์ กล้าที่จะรับมัน นอกจากนี้ ฉันยังชอบมุมมองเรื่องนิพพาน ว่านิพพานก็ได้ ไม่นิพพานก็ได้ จริงๆ ครูบาอาจารย์ทางเถรวาทก็บอกแบบนั้นอยู่แล้วว่ายิ่งอยาก ยิ่งไม่ได้ มันก็ตรงกัน ฉันว่ามหายานกับเถรวาทเหมือนส้มตำกับแฮมเบอร์เกอร์ กินแล้วก็อิ่มเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าชอบกินอะไร และมีอะไรให้กิน
และก็คำอธิบายเรื่องพรหมวิหาร ๔ ว่าเป็นบ้านที่ใหญ่มาก เป็นโพธิจิต เช่น เมตตาก็คือความรัก (ที่บางคนพูดว่าพุทธไม่เหมือนคริสต์ตรงที่คริสต์พูดถึงเรื่องความรัก จึงไม่จริง) กรุณาก็ชัดอยู่แล้ว มุฑิตาคือ Sympathetic Joy ถือว่า Life is a blessing. และอุเบกขาคือ Trust ความเชื่อใจตัวเอง เชื่อใจคนอื่น และสิ่งที่เกิดขึ้น
เค้าจบด้วยการพูดถึงพระสูตรสำคัญๆ ทางมหายาน เช่น พระสูตรปรัชญาปารามิตาหฤทัย วิมลเกียรตินิทเทสสูตร และ Diamond sutra ด้วยที่รู้ว่าปัญญาทางธรรมยังไม่ค่อยมีของจริง มีแต่ที่อ่านมา ฟังจากเค้ามา ก็เลยไม่ได้อินมาก ฉันรู้ว่าอ่านไปก็เข้าใจในระดับคิด อยากรู้ด้วยตัวเองมากกว่า
Comments