ตอนที่ไปชูมัคเกอร์ เริ่มต้นเค้าถามเราเรื่องจุดเปลี่ยน (Turning point) แล้วให้เล่าเรื่องจุดเปลี่ยนของเราให้เพื่อนฟัง พอกลับมารวมเป็นกลุ่ม ก็เล่าเรื่องจุดเปลี่ยนของเพื่อนให้กลุ่มฟัง ฝึก Deep listening ไปด้วย เราคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจพอจะเล่าได้
จุดเปลี่ยนของเราคือตอนที่เราได้ปริญญาเอก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำงานอย่างหนักมา ๑๑ ปีเพื่อให้ได้มา เราได้ทุนรัฐบาลไทยตอนจบม.ปลายเพื่อไปทำปริญญาตรีโทเอกที่อเมริกาด้านวิศวะ เราเรียนหนักมากเพื่อให้เข้ามหาลัยดีๆ ไม่สนใจเรื่องอื่น ไม่สนใจความรู้สึกของครอบครัวหรือของเพื่อน ไม่สนใจทำประโยชน์ให้ใคร สนใจเรื่องเกรดและผลการสอบเป็นหลัก การเห็นแก่ตัวและเค้นตัวเองมากๆ ทำให้เราเครียดจนนอนไม่หลับ บางคืนแทบไม่ได้นอน การไม่นอนเป็นความทุกข์อย่างมาก เราได้ลองทุกอย่าง ไปพบนักจิตวิทยา กินยาคลายเครียด กินว้อดก้าก่อนนอน (อันนี้หยุดก่อนเป็นแอลกอฮอลิกเพราะกลัวโง่ แอลกอฮอล์ทำลายเซลสมอง) แต่ก็ไม่ได้ผล
ชีวิตก็ดำเนินไปแบบมีหมุดหมายหลักเพียงอย่างเดียวคือเอาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แล้วเราก็ได้มา เรากลับมาใช้ทุนที่มหาลัยที่เมืองไทย เรารับความล้าหลังและวัฒนธรรมของประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้ เรากระเสือกกระสนที่จะกลับไปประเทศโลกที่หนึ่ง เราได้ทุนวิจัยหลังปริญญาเอก (Post doc) ที่แคนาดา ขอบคุณหัวหน้าภาคเราและผู้บริหารมหาลัยมากที่ใจกว้างปล่อยเราไป ทั้งๆ ที่ระเบียบบอกว่าเราต้องทำงานอย่างน้อย ๑ ปีจึงจะลาได้แต่เราสอนไปแค่เทอมเดียว
เราก็ไปแคนาดาทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ไป เค้าคงรอลูกเค้ามานาน เราคิดว่าไปแล้วเราคงจะมีความสุข ปรากฎว่ามันก็ไม่สุข ไปได้ปีหนึ่งก็กลับมา ทางโน้นมีเงินให้อยู่ต่อและมหาลัยก็อนุญาติ แต่เราไม่พบคำตอบที่นั่นจึงกลับ
ในระหว่างนี้ก็ยังดันทุรังต่อ โอเค...คิดว่าถ้าเราเป็นนักวิชาการที่โด่งดังแล้วจะมีความสุข เราก็สมัครทุนวิจัยจากสกว. ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลสำหรับอาจารย์ดอกเตอร์ใหม่ๆ ในภาคฯ ตอนนั้นยังไม่มีใครได้ ปีแรกไม่ได้ ปีที่สองได้ ก็ทำๆ ไป ปิดโครงการ เราเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกเจอคำตอบ กลับรู้สึกว่าการได้ทุนเป็นทุกขลาภ
ส่วนเรื่องเงิน เราไม่ได้ลองไปในทิศนั้นเพราะที่บ้านก็มีแล้ว และไม่คิดว่าพ่อกับแม่เค้ามีความสุขมากกว่าคนทั่วไปเพราะมีเงิน เงินเป็นปัจจัยหนึ่งแต่มีพอกินแล้วก็ไม่ทำให้แตกต่าง
ส่วนเรื่องการแต่งงาน เราก็รู้ว่าไม่ใช่คำตอบ เพราะโตมากับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องงาน เค้าทำธุรกิจร่วมกันแล้วเป็นคนมั่นใจมากทั้งคู่ ก็ทะเลาะกันตลอด ไม่สามารถคุยกันได้เกินสามประโยคโดยไม่ทะเลาะกัน
วันหนึ่ง เราอ่านนิตยสาร เจอสัมภาษณ์ผู้ชายคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าใคร เค้าบอกว่าเค้าพบตัวเองตอนไปคอร์สภาวนาที่สวนโมกข์นานาชาติ ที่สุราษฎร์ เราก็เอาล่ะ...ชั้นจะไปมั่ง ก็ไป ตอนแรกทนไม่ไหว (ทำไมต้องบังคับกูวะ) เกือบกลับ แต่มันไม่มีรถจะออกมา ก็อยู่
สิ่งที่ประทับใจที่สุดสองอย่างที่นั่นคือเราหลับลึกที่สุดในรอบ ๑๐ กว่าปีในคืนที่สอง ลึกขนาดเสียงเคาะประตู เสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้า ก็ไม่ทำให้ตื่น คือได้ยินไกลๆ ในฝันแต่ไม่ตื่น ตื่นมาแล้วสดชื่นมากๆ แล้วก็ฟังท่านพุทธทาสเทศน์เรื่องพระคุณพ่อแม่แล้วมันเข้าไปถึงภายในบางอย่างจนน้ำตาไหล พอออกจากคอร์สแปดวันแล้วรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ความรู้สึกนี้ทำให้เราเสพติดคอร์สปฎิบัติและชอบฟังเทศน์มากๆ
ก็ลองมาเรื่อยๆ สายนั้นสายนี้จนได้มาเจอพระอาจารย์โน้สและพระอาจารย์ตุ้มที่คอร์สของสวนแสงอรุณซึ่งปิดไปแล้ว เราได้เจอพระอาจารย์ที่ถูกจริตเรา ก็ได้ช่วยงานของวัดเพิ่มขึ้น วัดป่าสุคะโตเป็นที่พิเศษ สอนเรื่องภาวนาแต่ไม่ได้แปลกแยกจากสังคมและชุมชน เราเข้าไปไม่ได้หวังบุญ แต่ไปด้วยอีโก้ว่าเราทำได้ดีกว่าที่เค้าทำๆ กันอยู่ เราได้เรียนรู้เยอะมากจากการทำงานให้วัด คือได้รู้จักคนอีกแบบหนึ่งและวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง คนที่วัดคิดไม่เหมือนเรา และเรามั่นใจว่าไม่เหมือนคนเมืองทั่วไป ตอนแรกๆ เราแทบเอาหัวโหม่งฝาด้วยความอึดอัดใจ แต่ท่านโน้สก็เป็นแบ็คอัพที่ดีแล้วเราก็เห็นเองว่าทำไมพวกเค้าไม่ทุกข์เพราะเรื่องนี้ๆ แต่กูทุกข์วะเนี่ย
ปิดไม่ลง...มันวนกลับมาที่คำถามเริ่มต้นมั้ง ตอนนี้เข้าวัดแล้วก็มีประเด็นใหม่เรื่องติดดีที่ต้องระวัง ยิ่งช่วงนี้มีคนเข้ามาหาเราเรื่องขอคำแนะนำเรื่องการปฎิบัติด้วย เป็นกับดักมากๆ ให้ติดดีมากๆ เลย
จุดเปลี่ยนของเราคือตอนที่เราได้ปริญญาเอก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำงานอย่างหนักมา ๑๑ ปีเพื่อให้ได้มา เราได้ทุนรัฐบาลไทยตอนจบม.ปลายเพื่อไปทำปริญญาตรีโทเอกที่อเมริกาด้านวิศวะ เราเรียนหนักมากเพื่อให้เข้ามหาลัยดีๆ ไม่สนใจเรื่องอื่น ไม่สนใจความรู้สึกของครอบครัวหรือของเพื่อน ไม่สนใจทำประโยชน์ให้ใคร สนใจเรื่องเกรดและผลการสอบเป็นหลัก การเห็นแก่ตัวและเค้นตัวเองมากๆ ทำให้เราเครียดจนนอนไม่หลับ บางคืนแทบไม่ได้นอน การไม่นอนเป็นความทุกข์อย่างมาก เราได้ลองทุกอย่าง ไปพบนักจิตวิทยา กินยาคลายเครียด กินว้อดก้าก่อนนอน (อันนี้หยุดก่อนเป็นแอลกอฮอลิกเพราะกลัวโง่ แอลกอฮอล์ทำลายเซลสมอง) แต่ก็ไม่ได้ผล
ชีวิตก็ดำเนินไปแบบมีหมุดหมายหลักเพียงอย่างเดียวคือเอาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แล้วเราก็ได้มา เรากลับมาใช้ทุนที่มหาลัยที่เมืองไทย เรารับความล้าหลังและวัฒนธรรมของประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้ เรากระเสือกกระสนที่จะกลับไปประเทศโลกที่หนึ่ง เราได้ทุนวิจัยหลังปริญญาเอก (Post doc) ที่แคนาดา ขอบคุณหัวหน้าภาคเราและผู้บริหารมหาลัยมากที่ใจกว้างปล่อยเราไป ทั้งๆ ที่ระเบียบบอกว่าเราต้องทำงานอย่างน้อย ๑ ปีจึงจะลาได้แต่เราสอนไปแค่เทอมเดียว
เราก็ไปแคนาดาทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ไป เค้าคงรอลูกเค้ามานาน เราคิดว่าไปแล้วเราคงจะมีความสุข ปรากฎว่ามันก็ไม่สุข ไปได้ปีหนึ่งก็กลับมา ทางโน้นมีเงินให้อยู่ต่อและมหาลัยก็อนุญาติ แต่เราไม่พบคำตอบที่นั่นจึงกลับ
ในระหว่างนี้ก็ยังดันทุรังต่อ โอเค...คิดว่าถ้าเราเป็นนักวิชาการที่โด่งดังแล้วจะมีความสุข เราก็สมัครทุนวิจัยจากสกว. ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลสำหรับอาจารย์ดอกเตอร์ใหม่ๆ ในภาคฯ ตอนนั้นยังไม่มีใครได้ ปีแรกไม่ได้ ปีที่สองได้ ก็ทำๆ ไป ปิดโครงการ เราเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกเจอคำตอบ กลับรู้สึกว่าการได้ทุนเป็นทุกขลาภ
ส่วนเรื่องเงิน เราไม่ได้ลองไปในทิศนั้นเพราะที่บ้านก็มีแล้ว และไม่คิดว่าพ่อกับแม่เค้ามีความสุขมากกว่าคนทั่วไปเพราะมีเงิน เงินเป็นปัจจัยหนึ่งแต่มีพอกินแล้วก็ไม่ทำให้แตกต่าง
ส่วนเรื่องการแต่งงาน เราก็รู้ว่าไม่ใช่คำตอบ เพราะโตมากับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันบ่อยมากเรื่องงาน เค้าทำธุรกิจร่วมกันแล้วเป็นคนมั่นใจมากทั้งคู่ ก็ทะเลาะกันตลอด ไม่สามารถคุยกันได้เกินสามประโยคโดยไม่ทะเลาะกัน
วันหนึ่ง เราอ่านนิตยสาร เจอสัมภาษณ์ผู้ชายคนหนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าใคร เค้าบอกว่าเค้าพบตัวเองตอนไปคอร์สภาวนาที่สวนโมกข์นานาชาติ ที่สุราษฎร์ เราก็เอาล่ะ...ชั้นจะไปมั่ง ก็ไป ตอนแรกทนไม่ไหว (ทำไมต้องบังคับกูวะ) เกือบกลับ แต่มันไม่มีรถจะออกมา ก็อยู่
สิ่งที่ประทับใจที่สุดสองอย่างที่นั่นคือเราหลับลึกที่สุดในรอบ ๑๐ กว่าปีในคืนที่สอง ลึกขนาดเสียงเคาะประตู เสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้า ก็ไม่ทำให้ตื่น คือได้ยินไกลๆ ในฝันแต่ไม่ตื่น ตื่นมาแล้วสดชื่นมากๆ แล้วก็ฟังท่านพุทธทาสเทศน์เรื่องพระคุณพ่อแม่แล้วมันเข้าไปถึงภายในบางอย่างจนน้ำตาไหล พอออกจากคอร์สแปดวันแล้วรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น ความรู้สึกนี้ทำให้เราเสพติดคอร์สปฎิบัติและชอบฟังเทศน์มากๆ
ก็ลองมาเรื่อยๆ สายนั้นสายนี้จนได้มาเจอพระอาจารย์โน้สและพระอาจารย์ตุ้มที่คอร์สของสวนแสงอรุณซึ่งปิดไปแล้ว เราได้เจอพระอาจารย์ที่ถูกจริตเรา ก็ได้ช่วยงานของวัดเพิ่มขึ้น วัดป่าสุคะโตเป็นที่พิเศษ สอนเรื่องภาวนาแต่ไม่ได้แปลกแยกจากสังคมและชุมชน เราเข้าไปไม่ได้หวังบุญ แต่ไปด้วยอีโก้ว่าเราทำได้ดีกว่าที่เค้าทำๆ กันอยู่ เราได้เรียนรู้เยอะมากจากการทำงานให้วัด คือได้รู้จักคนอีกแบบหนึ่งและวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง คนที่วัดคิดไม่เหมือนเรา และเรามั่นใจว่าไม่เหมือนคนเมืองทั่วไป ตอนแรกๆ เราแทบเอาหัวโหม่งฝาด้วยความอึดอัดใจ แต่ท่านโน้สก็เป็นแบ็คอัพที่ดีแล้วเราก็เห็นเองว่าทำไมพวกเค้าไม่ทุกข์เพราะเรื่องนี้ๆ แต่กูทุกข์วะเนี่ย
ปิดไม่ลง...มันวนกลับมาที่คำถามเริ่มต้นมั้ง ตอนนี้เข้าวัดแล้วก็มีประเด็นใหม่เรื่องติดดีที่ต้องระวัง ยิ่งช่วงนี้มีคนเข้ามาหาเราเรื่องขอคำแนะนำเรื่องการปฎิบัติด้วย เป็นกับดักมากๆ ให้ติดดีมากๆ เลย
Comments